ลงทุนอย่างไรถึงมั่งคั่ง
การลงทุนในสมัยนี้ถือว่ายาก ดอกเบี้ยเหลือแค่ 2-3% จึงต้องเหลียวซ้ายแลขวาให้ดี ต้องหาทางให้เกิดดอกผลมากขึ้น สำหรับการลงทุนในแนวคิดของผม ก่อนอื่นก็ต้องเริ่มที่
1. บ้าน เพราะเราต้องมีบ้านเป็นของตนเอง บ้านถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ใช้ประโยชน์ได้ เพราะเราได้อยู่อาศัยฟรีๆ ไม่ต้องไปเสียค่าเช่าบ้าน
ที่สำคัญบ้านถือเป็น 1 ใน 3 สิ่ง ที่ยิ่งใช้ยิ่งแพง โดยอีก 2 อย่าง ได้แก่ ทอง และเพชร ส่วนข้าวของอย่างอื่น มีแต่ยิ่งใช้จะยิ่งถูกลง เช่น รถยนต์ คอมพิวเตอร์ มือถือ เป็นต้น
การซื้อบ้านนอกจากจะมีข้อดีที่ได้อยู่ได้ใช้ ราคายิ่งสูงขึ้นแล้ว ระหว่างผ่อนนั้น ยังสามารถหักภาษีเงินได้ และเวลาขายบ้านยังได้รับการหักภาษีอีก
ทั้งนี้ การซื้อบ้าน ขอแนะนำว่าให้ซื้อแบบเกินกำลังสักหน่อย เนื่องจากราคาบ้านที่ซื้อมา 1 ล้าน หากราคาขึ้นก็จะขึ้นไปเพียง 1.5-2 ล้านบาท ขณะที่บ้านราคา 3 ล้านบาท มีโอกาสจะขึ้นถึง 6 ล้านบาท ราคาบ้าน 1 ล้านบาท จะขึ้นไปเป็น 6 ล้านบาท คงยากมาก!!
ต้องอย่าลืมว่าการซื้อบ้าน เราไม่ได้ใช้เงินสด 100% เช่น บ้านราคา 1 ล้านบาท เรากู้มา 90% จึงดาวน์แค่แสนเดียว แต่หากซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาท จะดาวน์ที่ 3 แสนบาท เท่ากับดาวน์เพิ่มเพียง 2 แสนบาท แต่เวลาที่บ้านขึ้นราคาจะขึ้นไปทีละ 3 ล้านบาท ไม่ได้ขึ้นทีละล้านบาท
เราต้องยึดหลักว่าการซื้อบ้าน ไม่ใช่เป็นการใช้เงิน แต่เป็นการออมเงิน
บ้านถือเป็นกระปุกหมูออมสิน ทุกครั้งที่เราผ่อนบ้าน ก็เท่ากับเราหยอดเงินใส่ในกระปุกหมู ขณะเดียวกันก็ได้อยู่บ้านฟรีๆ ไม่ต้องไปเสียค่าเช่า
การลงทุนอันดับที่ 2 คือ พันธบัตรรัฐบาล ถือว่าดีที่สุดในช่วงนี้เพราะมีความมั่นคง เนื่องจากเป็นของรัฐดอกเบี้ยอยู่ในอัตราที่สูงและตายตัว ทำให้เรามีความมั่นใจ
แต่การลงทุนพันธบัตรรัฐบาลแม้จะมีข้อดีอยู่มาก ก็มีข้อเสียที่มีคนแย่งซื้อกันเยอะ ส่วนใหญ่จะจองกันไม่ค่อยได้
อันดับที่ 3 ได้แก่การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ เนื่อง จากเรามีโอกาสน้อยมากที่จะจับจองพันธบัตรรัฐบาล
ดังนั้น มาลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ของบรรดาบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ต่างๆจะดีกว่า เพราะให้ผลตอบแทนไม่ด้อยกว่าพันธบัตรมากนัก ออมถึง 25% จากที่หาเงินมาได้
เพราะแม้ว่ากองทุนตราสารหนี้ จะให้ดอกเบี้ยสู้พันธบัตรไม่ได้ แต่พันธบัตรต้องเสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ไม่ต้องเสียภาษี ที่สำคัญ กองทุนตราสารหนี้มีอายุช่วงสั้นๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นขณะนี้
การลงทุนที่น่าสนใจอันดับที่ 4 คือ ทองคำ นอกจากจะมีราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆแล้ว ยังมีแต้มต่อเหมือนซื้อบ้าน คือเราได้ใช้ ได้ประโยชน์จากมันในทันที เพราะแค่ได้ดู ได้จับ ก็มีความสุขแล้ว ทั้งยังมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ขณะนี้ราคาทองได้สูงขึ้นมาก แต่จะว่าทองแพงก็บอกไม่ได้ เพราะอีกสักระยะราคาทองก็จะแพงขึ้นอีก อย่างเมื่อเดือน ก.พ.ปีที่แล้ว ราคาทองอยู่ที่บาทละ 7,800 บาท ผมเคยแนะให้คนไปลงทุนซื้อทอง หากใครเชื่อผมตอนนั้น ป่านนี้ก็สบายใจ ได้กำไรมากกว่า 25%
สำหรับการลงทุนอื่นๆ ก็ต้องรอบคอบ อย่างการลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้อาจจะลำบาก มีโอกาสขาดทุน เพราะราคาผันผวน ยกเว้นหุ้นพื้นฐานดีๆ แต่เราต้องถือระยะยาวได้ ทั้งยังได้เงินปันผลที่ดี
สำหรับการลงทุนในส่วนของอสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็งกำไร คงต้องระวัง เพราะตอนนี้ดอกเบี้ยขาขึ้น ต้นทุนการผ่อนย่อมสูงขึ้น หากขายไม่ออกจะเพิ่มภาระสูงขึ้น
ส่วนที่ดินเปล่า ขอแนะว่าอย่าซื้อ เพราะที่ดินเปล่าไม่ได้สร้างรายได้ให้งอกเงย
ทั้งนี้ การลงทุนเราต้องยึดหลักการกระจายความเสี่ยง อย่านำไข่ไก่ทั้งหมดไปวางไว้ในตะกร้าใบเดียว เพราะหากตะกร้าตก ไข่ก็จะแตกหมด
ต้องนำเงินออมไปกระจายการลงทุน สำหรับปี 2549 ผมให้น้ำหนักการลงทุนที่กองทุนตราสารหนี้ถึง 50% ส่วนทองคำลงทุนประมาณ 10-15% ที่เหลือก็นำไปฝากธนาคาร ซึ่งการฝากเงินไว้ที่ธนาคาร แม้ดอกเบี้ยจะไม่สูงมาก แต่มีส่วนดีที่ทำให้มีกระแสเงินสด หากต้องการใช้เงินเมื่อไร ก็สามารถถอนมาใช้ ได้อย่างสะดวก
หากต้อง การนำเงินออมที่เหลือไปลง ทุนอย่างอื่นบ้าง ขอย้ำว่าต้องระมัดระวังมากๆ
เป็นบทความของ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน
บทความจาก : ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 3 มกราคม 2549
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น